เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ ก.พ. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมสิ เวลาปีใหม่เราก็ว่าเราจะทำคุณงามความดี จากปีใหม่มาสงกรานต์ ถ้าเป็นพระก็มันเป็นอาสาฬหะก่อน มันเป็นมาฆะ วิสาขะ แล้วก็อาสาฬหะ แล้วก็เข้าพรรษา วนแล้ววนเล่า เห็นไหม

สิ่งที่ดีงามๆ ดีงามที่หัวใจของเราไง ถ้าดีงามที่หัวใจของเรา เราเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มต้นให้รู้จักพ่อรู้จักแม่ เวลาพ่อแม่ของเรา พระอรหันต์ของลูกๆ คนที่จะดีมันดีจากกตัญญูกตเวที ดีที่ในบ้านของตน รู้จักดูแลรักษา รู้จักดูแลรักษานะ ดูแลครอบครัวของตน ชาติตระกูลของตน

เวลาชาติตระกูลของตน เวลาลูก ลูกที่ดี ลูกเปิดตาพ่อเปิดตาแม่ เวลาแม่มีมิจฉาทิฏฐิ เวลาลูกใช้อุบายวิธีการ ถ้าเปิดตาของพ่อของแม่ได้ นางวิสาขา พ่อตาเรียกนางวิสาขาว่าเป็นแม่ๆ เป็นเพราะเหตุใด เพราะนางวิสาขามาเปิดตาของพ่อตา

เวลาพ่อตาเป็นเศรษฐีร่ำรวยมาก แต่เขามาถือพราหมณ์ๆ แล้วเช้าขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระมาบิณฑบาตที่บ้าน เขาไม่ใส่บาตรๆ เวลาไม่ใส่บาตรขึ้นมาเพราะเขาคนละลัทธิศาสนา

นางวิสาขาบอกว่า พ่อกำลังกินของเก่า พ่อกำลังกินของเก่า

เขาโกรธมาก เพราะกินของเก่าคือกินของเสีย

แต่เวลาเขาแต่งงานมา เขามีพราหมณ์ มีผู้ดูแลรักษามา เขาบอกเขาจะไล่ออกจากบ้านไง

ถ้าไล่ออกจากบ้านต้องสอบสวนก่อน ต้องสอบสวนก่อน

สอบสวนเรื่องอะไร

ว่ากินของเก่าหมายความว่าอย่างไร

กินของเก่าก็กินบุญเก่าไง

คนจะเกิดเป็นมนุษย์ เพราะนางวิสาขาเป็นพระโสดาบันไง ถ้าเป็นพระโสดาบัน คนที่เกิดเป็นมนุษย์มันต้องมีมนุษย์สมบัติมันถึงเกิดเป็นมนุษย์ได้ คนที่ไม่มีมนุษย์สมบัติ จิตใจถ้ามันไม่มีบุญกุศลไปเกิดเป็นสัตว์เป็นแมลง แมลงกับสัตว์มันก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน มันมีเวรมีกรรมของมัน เห็นไหม

กินของเก่าๆ เพราะเรามีบุญกุศลขึ้นมาเราถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ไง แล้วก็มากินของเก่าอยู่นี่ไง เวลาทำบุญกุศลไม่ทำๆ ไง พอไม่ทำขึ้นมา เวลาหูตาสว่างขึ้นมาเรียกนางวิสาขาว่าเป็นแม่นะ

ถ้าเราเป็นลูก พ่อแม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เรามีความสามารถใช้อุบายวิธีการให้ท่านเป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้าสัมมาทิฏฐิ ถ้าท่านมีความสุขในหัวใจของท่าน ท่านจะระลึกบุญคุณของเรา บุญคุณของเราเลยนะ

ถ้าบุญคุณของเรา เวลามันมืดบอด มันมืดบอดจากหัวใจ เวลามันสว่างมันก็สว่างขึ้นมาที่หัวใจก่อนใช่ไหม คนเราถ้าไม่คิด คนเรามันมีเจตนาของมัน ถ้ามันไม่เชื่อ ไม่ยอมฟัง มันจะทำได้อย่างไร

มันจะทำของมันได้ เราจะทำได้เราต้องมีสติมีปัญญาของเรา ถ้ามีสติปัญญาของเรา ถ้าเป็นคนดีมันเป็นคนดีที่นี่ มันเป็นคนดีที่ในหัวใจของตน ถ้าหัวใจของเราดีงาม ฟังธรรมๆ ก็เพื่อเน้นย้ำในหัวใจของเรานี่ไง

เวลาเกิดมาแล้วเราเป็นคนมีบุญกุศล เราเป็นคนยิ่งใหญ่

ยิ่งใหญ่ก็ตายหมด บุญกุศล คำว่า ยิ่งใหญ่” ยิ่งใหญ่เพราะบุญกุศลที่ได้สร้างสมมา เวลาสร้างสมมา คนเราสร้างมาแล้วมันมีโอกาสไง

เวลาคน พระรัฐปาล เวลาจะบวชขึ้นมา มีลูกชายคนเดียว เวลาจะบวชขึ้นมาพ่อแม่ไม่ให้บวช มีลูกชายคนเดียว พอลูกชายคนเดียวขึ้นมา ไม่ให้บวช อย่างไรก็ไม่ให้บวช

แล้วเวลาที่ว่าพระเจ้าสุทโธทนะเป็นผู้ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ก่อนแล้ว ว่าผู้ที่จะบวชต้องให้พ่อแม่อนุญาตก่อน ถ้าพ่อแม่ไม่อนุญาตไม่ให้บวช

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รับปากพ่อของตนไว้ ก็บอกว่า ต้องให้พ่อแม่อนุญาตก่อน พ่อแม่อนุญาตก่อน

เวลาให้พ่อแม่อนุญาต พ่อแม่ก็ไม่อนุญาต พ่อแม่ไม่อนุญาต พ่อแม่ก็พยายามจะดึงไว้ ไปชวนไปขอร้องให้เพื่อนๆ มาช่วยอ้อนวอน

เวลาเพื่อนๆ มาคุยแล้ว เพื่อนๆ เขารู้จักนิสัยไง เขาไปถามแม่เขา “แม่ อยากเห็นหน้าลูกไหม”

“อยาก”

“ถ้าอยากต้องให้บวช ถ้าไม่ให้บวช ตาย อดข้าวตาย มันจะประท้วงอดข้าวตาย”

แม่ก็ต้องให้บวชเพราะไม่อยากเสียลูกไปเหมือนกัน พอให้บวชขึ้นมา พระรัฐปาลไปประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาถึงเต็มที่เป็นพระอรหันต์

กลับมาเยี่ยมบ้าน กลับมาเยี่ยมบ้านนะ พ่อแม่ไปขนทรัพย์สมบัติมากองไว้เต็มเลย ปรึกษาลูกชายว่าทรัพย์สมบัตินี้จะให้ใคร เป็นของใคร

ลูกชายนะ บอกว่า ให้ใส่ล้อ ให้ใส่ล้อแล้วไปดั๊มป์ใส่แม่น้ำซะ

เพราะพระอรหันต์เขาไม่สนใจหรอกไอ้ข้าวของเงินทองอย่างนั้นน่ะ นี่ไง ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา

ข้าวของเงินทองก็เป็นข้าวของเงินทอง ถ้ามันเปิดตาของแม่ได้ๆ ดูสิ เวลาพระสารีบุตร เวลาพระสารีบุตรวิตกวิจารณ์ พระสารีบุตรนะ ยิ่งน่าสังเวชใหญ่ เพราะพ่อแม่ของพระสารีบุตร ลูกๆ เป็นพระอรหันต์ ๘ องค์ ๙ องค์ แม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ

เวลาพระสารีบุตรจะหมดอายุก็มารำพึงรำพันว่าเป็นห่วงแม่ๆ จะทำอย่างไรให้แม่เป็นสัมมาทิฏฐิ เวลาสัมมาทิฏฐิ มาพิจารณาของตน จะปลงอายุสังขาร อ๋อ! ก็ต้องเรานี่แหละไปแก้แม่

เวลาแก้แม่ๆ กลับไปบ้าน เวลากลับไปบ้านขึ้นมา เพราะว่าไปเทศนาว่าการตั้งแต่หนุ่มจนแก่ เวลาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ เวลาลูกชายมา แม่ก็คิดเลย โอ้โฮ! บวชตั้งแต่หนุ่มยันแก่ อยู่ในป่าในเขามีแต่ความทุกข์ความยาก สงสัยมาหาแม่จะมาอ้อนขอสึก มาหาแม่จะมาเอาสมบัติ...แม่คิดไปนู่น

ไอ้ลูกก็เป็นห่วงแม่มาก แม่เป็นมิจฉาทิฏฐิไง วันนั้นไม่พูด เข้าไปอยู่ในห้องที่เกิด ห้องนอน พอปฐมยาม เทวดามาก่อน แสง แสงมันพุ่งเข้ามาในห้องเลย แสงเข้ามาในห้อง อู้ฮู! แม่ตกใจ เปิดห้อง “ลูกๆ นั่นใครมา”

“เทวดามา”

“อู้ฮู! ลูกเราก็เก่งเนาะ”

พอมัชฌิมยาม เที่ยงคืน พรหมมาอุปัฏฐาก เทวดา อินทร์ พรหมอยากได้บุญกุศล อยากอุปัฏฐาก อยากค้ำจุนพระพุทธศาสนา อยากค้ำจุนสิ่งที่ดีงามไง พระสารีบุตรจะปรินิพพาน ทุกคนก็อยากได้บุญกุศลทั้งนั้นน่ะ

เวลาพรหมมาแสงสว่างมันสว่างไสวพุ่งเข้ามาในห้องนั้นน่ะ พอกลับไปแล้วแม่ก็ไปถาม “ลูกนั่นใครมา”

“พรหม พรหม”

เขาถือพราหมณ์ไง พราหมณ์เขาถือพรหมของเขาไง ถือสิ่งที่สูงส่งของเขาไง สิ่งที่เขาอธิษฐานสูงส่ง ที่เขาทำบูชาไฟๆ ยังมาอุปัฏฐากพระสารีบุตรไง มาอุปัฏฐากลูกของเรา “อู๋ย! ลูกของเราเก่งเนาะ ลูกของเราต้องมีปัญญาเนาะ”

เวลาสนใจขึ้นมา นี่จิตใจที่ควรแก่การงาน จิตใจของคนที่มันอ่อนน้อมถ่อมตน จิตใจของคนที่เป็นสาธารณะ จิตใจคนที่เปิดฟังมันฟังได้

จิตทิฏฐิมานะ ข้าแน่ ข้ายิ่งใหญ่ ข้ายอดเยี่ยม ไร้สาระ มันปิดหัวใจของมัน

แต่ถ้ามันเปิดหัวใจของมันขึ้นมา เวลาเทศน์ พอเปิดหัวใจขึ้นมา พระสารีบุตรเทศน์เลย เทศน์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทศน์ถึงบุญคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

สิ่งที่ว่ายิ่งใหญ่ สิ่งที่ว่าอ้อนวอนขอกันอยู่นั่นน่ะ นี่แค่เด็กอุ้มบาตร เทวดา อินทร์ พรหมเป็นคนอุปัฏฐากบาตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคนอุปัฏฐากบาตรของพระสารีบุตร พระสารีบุตร พวกเทวดา อินทร์ พรหมเขาอยากล้างบาตรให้ เขาอยากอุ้มชูบาตรให้ นั่นน่ะเพราะเขาอยากได้บุญๆ ของเขาขึ้นมาไง เพราะเขารู้จริงของเขา เขาเห็นจริงของเขา

พอเห็นจริงของเขานะ พอฟังเทศน์แล้วน้ำตาไหลนะ โอ้โฮ! บรรลุธรรมนะ จากที่เป็นมิจฉาทิฏฐิได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน พอได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันนะ ร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญเลย “ลูกมันไม่รักเรา ถ้าลูกรักเรามันต้องสอนเราตั้งแต่ทีแรกแล้วล่ะ มันไม่เห็นสอนเราเลย”

มาทีไรก็ว่าจะสึกๆ จะมาเอาสมบัตินั่นน่ะ นี่ไง เวลาคิด มุมมองของคนไง หัวใจของคนคนหนึ่งก็คิดว่าทรัพย์สมบัติของคนยิ่งใหญ่ ความเกิดเป็นมนุษย์ยิ่งใหญ่

เกิดเป็นมนุษย์เกิดเท่ากันนะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์สิทธิเสรีภาพเสมอกัน อาการ ๓๒ เสมอกัน เราเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่เราแตกต่างกันด้วยอำนาจวาสนาบารมีของคน อำนาจวาสนาบารมีมันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่หัวใจนี่ไง อยู่ที่ความดำริ ดำริชอบ ดำริชอบหรือไม่ชอบ

ดูเด็กบางคนนะ เด็กบางคน โอ้โฮ! น่าสงสาร เป็นเด็กแต่หัวใจเขายิ่งใหญ่ ดูแลพ่อดูแลแม่ เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวปู่ย่าตายายทั้งหมดเลย เด็กคนเดียว เด็กเล็กๆ ทำไมมันคิดของมันได้อย่างนั้น

ไอ้เราเป็นผู้ใหญ่เราเคยดูแลพ่อแม่เราไหม เราเคยมีของไปฝากพ่อแม่เราบ้างไหม เราโตขนาดนี้เรายังไม่เคยระลึกถึงพ่อแม่เราแบบเขาเลย

เขาเป็นเด็กกตัญญู วิ่งไปโรงเรียน พอพักเที่ยงวิ่งกลับบ้านกลับมาป้อนข้าวป้อนน้ำแม่มันพ่อมันที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตอยู่ในบ้าน ดูสิ ดูหัวใจของคนสิ นี่หัวใจที่ยิ่งใหญ่ไง

หัวใจที่เป็นธรรมๆ เวลาอย่างนี้มันขอโอกาสไง ขอโอกาสว่า อยากเป็นหมอ อยากเป็นพยาบาลเพื่อมาดูแลรักษาพ่อแม่ของมัน นี่มันคิดของมันอย่างนั้นน่ะ นี่ถ้าหัวใจมันยิ่งใหญ่

ถ้าหัวใจที่ไม่ยิ่งใหญ่มันประชด พ่อก็ไม่รัก แม่ก็ไม่รัก อู๋ย! ไม่มีใครรักเลย ทุกคนรังแกเราหมดเลย อู้ฮู!

มึงใหญ่มาจากไหน ใครไปรังแกเอ็ง เขามีแต่ความอบอุ่นมีแต่ความมอบให้ แต่มันเกิดทิฏฐิมานะนะ เพราะอะไร เพราะกรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เกิดมาด้วยอภิชาตบุตร เกิดมาด้วยบุตรที่ดีขึ้นมามันเป็นบุญกุศล

เวลาเกิดขึ้นมามันมีความขัดแย้งต่างๆ มันมีทั้งนั้นน่ะ คำว่า มีอย่างนั้น” เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ถ้าเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราจะไม่จองเวรจองกรรมใครทั้งสิ้น ถ้ามีสิ่งใดขัดแย้งขึ้นมา เรามีสติปัญญาเท่าทันหัวใจของเรานะ เออ! ให้อภัย เรื่องของเขา

หลวงตาท่านย้อนกลับมา นี่กรรมของสัตว์ๆ ไง เขาจะดีจะชั่วอย่างไรมันเรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีว่ะ เราจะทำคุณงามความดี เราจะรักษาหัวใจของเรา เราจะมีจุดยืนในหัวใจของเรา

ถ้าหัวใจของเรานะ คล้อยตามไอ้เรื่องโลกธรรม ๘ หัวใจของเราจะยืนอยู่ในหัวใจของเราไม่ได้ เราจะสั่นไหวไปกับโลกตลอดเวลา นี่มันเป็นเวรเป็นกรรมนะ ถ้ามันเป็นสิ่งที่ดีงาม เราสร้างบุญกุศลมา เวลาเราทำบุญกุศล เราอุทิศส่วนกุศล อยากให้เจอแต่คนดีๆ อยากจะเจอสิ่งดีๆ

มันอธิษฐานส่วนอธิษฐานไง กรรมคือกรรมไง กรรมคือการกระทำไง การกระทำที่มีเหตุผลที่มันกระทบกระเทือนกันมาไง กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันไง เวลากรรมมันให้ผล กรรมมันให้ผลไง ถ้ากรรมมันให้ผล แต่กรรมให้ผล เราก็เก็บไว้ของเราไง เราสร้างแต่คุณงามความดีของเรา ทำแต่คุณงามความดีของเรา

แล้วถ้าคุณงามความดีที่ยิ่งใหญ่ นั่งลงหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ การปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่เพราะค้นคว้ารักษาอุปัฏฐากใจของเราก็เท่ากับอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราดูแลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เราทำหัวใจของเรา หัวใจที่ยิ่งใหญ่นี้ไง เรารักษาเราที่นี่ เราทำงานที่ยิ่งใหญ่ ทำงานที่นั่งลงแล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ รักษาหัวใจของเราที่ยิ่งใหญ่ไง ความยิ่งใหญ่อย่างนี้มันยิ่งใหญ่โดยหัวใจของเรานะ เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาถ้ามันฟุ้งมันซ่าน มันปิดมันกั้นหัวใจของเรา นี่ความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ เวลาที่มันมีความสุขความสงบขึ้นมา บุญกุศลขึ้นมา บุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ ความยิ่งใหญ่นี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้จำเพาะตนในหัวใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครมาแบ่งมาแยกมาคัดแยกไปเลย เราทำของเราเสร็จแล้ว เราอุทิศส่วนกุศล อุทิศบุญกุศลให้แก่พวกญาติโกโหติกาของเรา เราทำเพื่อบุญกุศล เห็นไหม

คำว่า ยิ่งใหญ่” นะ ในทางโลกๆ สิ่งที่ได้มา ได้มาสาธารณะ เก็บไว้ก็เก็บไว้ในเซฟ ไปฝากไว้ธนาคาร ไปฝากไว้ข้างนอก ไม่อยู่ในใจเลย

ใจของเรามันยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่เป็นสมบัติของเราอยู่ในใจแล้วใครลักไม่ได้ ใครมาขโมยความคิดเราไปไม่ได้ เว้นไว้แต่เราไปโม้เอง เราอยากให้เขารู้ว่าเราคิดอะไร แต่ถ้าเราไม่โม้ให้เขาฟัง เขาไม่รู้หรอก

นี่มันร้อยเปอร์เซ็นต์ไง นี่สมบัติของเรา สมบัติของเราในหัวใจของเรานี่ไง ถ้าเราจะทำความยิ่งใหญ่ เราทำความยิ่งใหญ่ในหัวใจเรานี้ สิ่งที่ความดีงามๆ ถ้าความดีงาม เราเปิดหูเปิดตาใจเราแล้ว เรายังเปิดหูเปิดตาพ่อแม่ปู่ยาตายายของเรา ถ้าเราทำให้เป็นสัมมาทิฏฐิได้ ถ้าสัมมาทิฏฐิ เห็นไหม

เวลาเขาบอกว่า พระพุทธศาสนาสอนให้คนจน เสียสละๆ เสียสละจนไม่มีติดเนื้อติดตัวเลย

ศาสนาพุทธสอนให้คนรวย รวยน้ำใจ รวยความยิ่งใหญ่ ไม่ใช่รวยมาอวดกันไง “สายบุญๆ” ต่างคนต่างควัก นี่ไง ถ้าทำบุญที่ยิ่งใหญ่ นั่งลงแล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นั่งลงประพฤติปฏิบัตินี่

ไอ้สิ่งที่ทำๆ มันเป็นกิริยาเท่านั้น มันเป็นเครื่องหมายเท่านั้น ถ้าเครื่องหมายเท่านั้น เพียงแต่น้ำใจๆ ไง นี่ระดับของทาน

ระดับของศีล ศีลคือความปกติของใจ ศีลคือการไม่กะล่อน พระอย่ากะล่อน พระกะล่อนนะ ไม่รู้ก็บอกว่ารู้ ไม่เข้าใจก็ว่าเข้าใจ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกว่าฉันแสดงธรรม...นี่อ่านหนังสือแล้วบอกแสดงธรรม

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น สติก็ไม่รู้จักว่าสติเป็นอย่างไร สมาธิก็ยิ่งไม่รู้จักใหญ่เลย ยิ่งสมาธิ สมาธิเป็นอย่างไร ยิ่งปัญญาๆ ปัญญาก็นี่ไง อ่านหนังสือนี่ไง ปัญญาแท้ๆ เลย พระพุทธศาสนาเต็มๆ เลย พุทธพจน์เสียด้วย ชัดเจนเลย นี่มันไม่รู้เหนือรู้ใต้อะไรเลย

นี่ไง แต่ถ้าเป็นจริงๆ ขึ้นมา เป็นจริงที่ไหน เป็นจริงมันเห็นคุณค่าของหัวใจนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสลบถึง ๓ หน เวลาสลบนั่นน่ะมันตายนะ เรานั่งสมาธิมันเจ็บปวดอย่างไรเราก็รู้ มันฟุ้งซ่านอย่างไรก็รู้ เวลามันสลบอย่างไรก็รู้ เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมา ภาวนามยปัญญาขึ้นมา มรรคที่มันเกิดในหัวใจ ภาวนามยปัญญาที่มันเกิดขึ้นมันก็มหัศจรรย์

สิ่งที่มหัศจรรย์ๆ แต่ยังไม่ได้สมุจเฉทปหาน ยังไม่ได้ฆ่ากิเลสไป มหัศจรรย์ก็มหัศจรรย์เป็นอนิจจังชั่วคราวทั้งสิ้น แต่เวลากระทำไปๆ เวลามันขาด เวลามันขาดไปแล้วนะ อกุปปธรรม อกุปปธรรมหมายความว่าหัวใจนี้มันมีคุณธรรมแท้ คุณธรรมแท้มันไม่เสื่อมสลายไง

นี่ไง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ใช่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้สอนอนัตตานะ เพราะคนไม่รู้จักอนัตตาหรอก ทางโลกนี้เป็นอนิจจัง วิทยาศาสตร์ สสารแปรสภาพ แต่ตัวตนมันอยู่ไหน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป

ถ้าจะเป็นอนัตตามันต้องมีการเกิดขึ้น เกิดขึ้นคือจิตมันค้นคว้าหาสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง มันเกิดขึ้น เกิดในพระพุทธศาสนา แล้วพิจารณาไปด้วยปัญญา เวลาปัญญา เวลาพิจารณาไปแล้วถ้ามันแปรสภาพมันเป็นไตรลักษณ์ พอเป็นไตรลักษณ์ มันทำลายตัวตน ทำลายกิเลสไง

ไอ้นี่ไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วก็เป็นคนธรรมดานี่ ก่อนบวชก็เป็นเรานี่ บวชเสร็จแล้วก็เป็นเราอยู่นี่ ตรัสรู้แล้วก็ยังเป็นเราอยู่อีก มันไม่มีอยู่จริงหรอก

เกิดก็เกิดเป็นเรานี่แหละ แต่มันทุกข์มันยากขึ้นมาเราก็พยายามขวนขวายแสวงหา พอแสวงหา จิตมันสงบแล้วถ้าไปรื้อค้นไปเห็นตัวตนของตน เห็นตัวตนของตน เห็นตัวตนของตน เห็นกิเลสไง

เขาบอกว่า กิเลสเป็นนามธรรม เห็นมันไม่ได้

เห็นไม่ได้ ฆ่ามันได้อย่างไร คนเราไม่มีหนึ่งบวกหนึ่ง มันจะเป็นสองได้อย่างไร

มันมีหนึ่งต้องบวกกับหนึ่งด้วย มีการประพฤติปฏิบัติของเราด้วย มีผลของการปฏิบัติด้วย แล้วถ้ามันเป็นจริงนะ หนึ่งบวกหนึ่งไง

มันไม่มีหนึ่ง ไม่มีสอง ไม่มีอะไรเลย แต่นี้ปัญญานะ นี้ปัญญานะ ขอให้ฟังข้า ข้าปัญญาเลอเลิศ...ปัญญาอะไรของเอ็ง

แต่ถ้าเป็นจริงๆ เป็นจริงมันเป็นความมหัศจรรย์ๆ มันพูดกันไม่รู้เรื่องหรอก เวลาหลวงตาท่านพูดไง เวลาพูดกับลูกศิษย์ลูกหามันเหมือนกับพูดกับสัตว์

นี่ก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการอย่างหนึ่ง คือต้องการเรื่องภาวนามยปัญญา เรื่องมรรคเรื่องผลในหัวใจ ไม่ใช่เรื่องความคิด ความคิดนี้อยู่ภายนอก ความคิดใครมันก็คิดได้

เด็กๆ เวลามันพูดอะไรมา ผู้ใหญ่สะอึกเลยนะ เด็กๆ เวลามันย้อนมานี่สะอึกเลย นี่ไง มันก็คิดได้ แล้วมันคิดเรื่องอะไรล่ะ เรื่องขอตังค์ไง ถ้าไม่ได้ตังค์มันร้องไห้

แต่ถ้าเป็นความจริง ความจริงมันเกิดจากภายใน นี่พูดถึงถ้าจะปฏิบัติบูชา บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัวเป็นๆ เลยน่ะ ถ้าจิตสงบแล้วนะ อื้อหืม! สงบจริงๆ มันเป็นสงบอย่างนั้น แล้วพอสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาไง นี่พระพุทธศาสนาแท้ ภาวนามยปัญญาเกิดจากการภาวนา

“สุภัททะ สุภัททะเธออย่าถามให้มากไปเลย ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล” เวลาถ้าจะถามมากไป “เราไม่มีเวลา ให้พระอานนท์บวชเลย” บวชให้วันนี้เลย เดินจงกรมคืนนี้เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน สุภัททะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย

นี่ไง ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ไม่ต้องถามให้มันวุ่นวาย ถามแต่เรื่องข้างนอก เพราะอะไร เพราะมันรู้จักข้างนอกไง ฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์นะ ฉันปัญญาเยอะนะ จะมาหลอกฉันไม่ได้นะ ฉันก็ถามของฉันไปเรื่อยนะ ถามไปด้วยความสงสัย

กรณีอย่างนี้มันเหมือนกรณีหลวงตาเรียนจบถึงมหา ตั้งใจแล้วว่าจะประพฤติปฏิบัติ เรียนจบถึงมหาก็เรียนเรื่องอรหันต์ เรียนเรื่องนิพพาน แล้วถ้าปฏิบัติจริงๆ มีหรือเปล่า ปฏิบัติจริงๆ น่ะ เวลาถาม ถามได้ทั้งนั้นน่ะ แต่มันตอบไม่ได้

แต่เวลาเจอหลวงปู่มั่น ผัวะ! เลยล่ะ นิพพาน นิพพานอยู่ที่ไหน นิพพานอะไร ถ้านิพพาน นิพพาน มันกังวานกลางหัวใจนี่

แล้วถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา เป็นจริงขึ้นมาเพราะอะไร เพราะว่าคนสอนนะ เป็นคนสอน สอนให้คนทำ แล้วเวลาคนทำขึ้นมา คนสอนสอนไม่ได้ จะสอนได้อย่างไร

ถ้าคนสอนเวลาสิ้นกิเลสไปแล้ว เวลาหลวงตาท่านพูดประจำ คนเรานะ ถ้าเป็นธรรมมันอ่อนน้อมถ่อมตน มันเคารพบูชา มันรู้จักบุญจักคุณ เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติมา ในศาสนาพุทธเรา ทุกคนถ้าไม่ใช่เป็นคนเสียสตินะ เอ็งไม่เคารพพระพุทธเจ้าหรือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอ็งไม่เคารพหรือ

แล้วเวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ครูบาอาจารย์เป็นคนชี้นำ ครูบาอาจารย์เป็นคนชี้บอก เหมือนเราเป็นคนหลงทาง เราหลงทางนะ แล้วเราไปกลางทะเล เราไปเรือแตกกลางทะเล มีคนมาช่วยชีวิตเราขึ้นมาจากทะเลนั้นน่ะ

ดูสึนามิสิ ไอ้พวกฝรั่งมันพยายามค้นหาคนที่ช่วยชีวิตเขา สิบปียี่สิบปีที่แล้วจะมาตอบแทนบุญคุณอยู่นั่นน่ะ แม้แต่คนที่ประสบภัยสึนามิมันยังระลึกถึงคุณคนที่ช่วยเหลือชีวิตเขา

แล้วคนที่ประพฤติปฏิบัติ หลวงตา หลวงปู่มั่นท่านเป็นคนชี้นำ เป็นคนชี้บอก ทำไมท่านจะไม่เคารพ ทำไมท่านจะไม่กตัญญู แล้วมันจะไปขัดไปแย้งอย่างไร แล้วเคารพ เคารพด้วยหัวใจด้วย ไม่เคารพด้วยที่ปาก ไม่เคารพเอามาเป็นสินค้า ไม่เคารพว่าฉันลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ฉันลูกศิษย์หลวงปู่มั่น...ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นแล้วได้อะไร

แต่เวลาหลวงตาอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านสับท่านโขกขึ้นมา ท่านมีคุณธรรมขึ้นมาในใจ จะเป็นลูกศิษย์ไม่เป็นลูกศิษย์ ท่านเคารพบูชาของท่าน ถ้าไม่ได้กราบหลวงปู่มั่น นอนไม่ได้ คืนไหนไม่ได้กราบหลวงปู่มั่น นอนไม่ได้ ก่อนนอนต้องกราบหลวงปู่มั่น

ก่อนนอนคือท่านนอนของท่านคนเดียว ท่านกราบของท่านคนเดียว ไม่มีใครรู้ใครเห็นหรอก

การเคารพการบูชาไม่ต้องโฆษณาชวนเชื่อ ไม่ต้องเอามาอวดว่าเคารพบูชา

เคารพบูชามันต้องเคารพบูชาในหัวใจนั้น มีการกระทำอย่างนั้น นี่คือธรรมแท้ๆ ไง ธรรมแท้ๆ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้จำเพาะหัวใจของตนไง

ไม่ต้องสื่อสาร โอ้โฮ! ฉันลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เคารพบูชาหลวงปู่มั่น โฆษณาเรื่องหลวงปู่มั่น...แต่พฤติกรรมเป็นหรือเปล่า จริงหรือเปล่า

พฤติกรรมถ้ามันเคารพบูชานะ มันไม่ก้าวล่วงหรอก พระอานนท์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ตรงไหนที่เคยนั่งและเคยนอน พระอานนท์จะไม่กล้าเข้าไปใกล้ จะประพฤติตนเหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงชีวิตอยู่

ตรงไหนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยนอน ท่านจะรักษาให้เป็นแบบนั้น ตรงไหนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยประทับนั่ง พระอานนท์จะจัดดูแลเหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงชีพอยู่ นี่คนที่เขาเคารพ เขาไม่มาโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้ได้ลาภสักการะให้คนเชื่อถือเขา นี่สัจจะความจริงมันเป็นจริงอย่างนี้

นี่พูดถึงว่าถ้าเราจะเป็นชาวพุทธจริง เราเป็นชาวพุทธแท้ เราก็ค้นคว้าหาหัวใจของเรา

อินเดีย ถ้าเรามีโอกาสไปก็ไปทัศนศึกษา แต่ถ้าไม่มีโอกาส หาพุทธะในใจนี้ เอวัง